เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๙ ม.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

พาเด็กเข้าวัด ถ้าเด็กเข้าวัดแล้วโตขึ้นมาจะไม่เคอะไม่เขิน มันจะรู้หลักของมัน เห็นไหม นี่ผู้มีศีล ผู้มีศีลองอาจกล้าหาญเข้าทุกสังคมได้ การเข้าสังคมถ้าเรารู้เราเข้าไป เราไม่เคอะไม่เขิน ถ้าเราไม่รู้เราเคอะเราเขิน เราไม่กล้าทำสิ่งใด แต่ความรับรู้ของเขานี่สมาธิสั้น สมาธิของเขาได้แค่นั้น ได้แค่นั้นเราก็ดูแลของเขามา หน่ออ่อน เวลาเราประพฤติปฏิบัติกันหน่อของพุทธะ หน่ออ่อนมันจะเกิดขึ้นมา มันจะเติบโตขึ้นมา นี่เราหาได้ยากมาก

ฉะนั้น สิ่งที่เรามาปลูกฝังไว้ นี่เวลาลูกหลานของเรา ถ้าลูกหลานเราดี ไอ้ฉลาดหรือว่ามีปฏิภาณไหวพริบนั้น สิ่งนั้นถ้ามีดีด้วยเราก็พอใจ แต่ถ้าลูกเราเป็นคนดีซะอย่างหนึ่งเราพอใจแล้ว แต่เขามีปัญญาขึ้นมาเขาจะยืนในสังคมของเขาได้ อันนั้นเป็นสิ่งที่เราพอใจ แต่ถ้าลูกของเราเป็นคนดีนะ ถ้าลูกของเรามีปัญญามีต่างๆ แต่พ่อแม่ปวดหัวนี่ก็ไม่ไหว นี่พ่อแม่ปวดหัวอันนี้มันเป็นอำนาจวาสนาของคนนะ เราดูแลเรารักษาของเรา ดูแลรักษาเพราะพ่อแม่ไม่ต้องการหวังสิ่งใดจากลูกเลย ขอให้ลูกมีความสุขพ่อแม่พอใจแล้ว แต่ถ้าเราดูแลพ่อแม่ของเรา เห็นไหม อันนี้เป็นอีกกรณีหนึ่งนะ ถ้าเราดูแลพ่อแม่ของเรา เราต้องมีสติมีปัญญาของเรา พ่อแม่ของเราเราต้องใช้อุบายไง

คำว่าอุบายนะ เรามีปัญญามากกว่าแต่เราคล้อยตามไง เราคล้อยตามไป เราดูแลของเราไปเพื่อไม่ให้มีความกระทบกระเทือนกัน การกระทบกระเทือนกันแล้วสิ่งนั้นไม่ดีเลย แต่ไม่ใช่ว่าจะถูกไปทั้งหมด เพราะคำว่าเราอยู่ในโลกมันเป็นจริตเป็นนิสัยของคนนะ เวลาเราภาวนามันมีมาตรฐานเดียว คำว่ามาตรฐานเดียวคือมัคคะ มรรคญาณ คืออริยสัจมันมีหนึ่งเดียว แต่วิธีการเข้าไป แล้วจริตนิสัยของคน เห็นไหม การเข้าไปด้วยหลายช่องทาง หลายมุมมอง แต่เวลาถึงที่สุดแล้วมันต้องเป็นอันเดียวกัน

คำว่าเป็นอันเดียวกัน ถ้าไม่อันเดียวกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภัทกัป ๕ องค์ ถ้า ๕ องค์สอนเหมือนกัน แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ

“เราอายุสั้น เราก็อายุแค่ ๘๐ ปี พระเจ้ากัสสปะ ๒๐,๐๐๐ ปี พระศรีอริยเมตไตรย ๘๐,๐๐๐ ปี ต่างๆ เราอำนาจวาสนาน้อย เราอายุสั้น”

คำว่าอายุสั้นของเรา เราแค่ ๘๐ ปี นี่เวลาจะวางธรรมวินัยไว้อีก ๕,๐๐๐ ปี แต่คิดดูสิถ้า ๘๐,๐๐๐ ปี เห็นไหม มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี พอ ๔๐,๐๐๐ ปีแล้วออกบวช พอออกบวชแล้ว นี่วันออกบวชวันนั้น ออกบวชวันนั้นก็ตรัสรู้ธรรมเลยแล้วสั่งสอนอีก ๔๐,๐๐๐ ปี แต่ของเรา ๕,๐๐๐ ปี นี่พูดถึงอายุ พูดถึงอายุขัย พูดถึงอำนาจวาสนาบารมีว่าบารมีเราน้อยกว่า แต่อริยสัจมันอันเดียวกันไง

นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สอนเหมือนกัน พระศรีอริยเมตไตรยก็มาตรัสรู้อันนี้ นี่อริยสัจต้องตรัสรู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณ เห็นไหม นิโรธคือการดับ การดับดับอย่างไร? มันต้องมีเหตุมีผลของมัน ไม่ใช่ว่าต่างคนต่างดับ ต่างคนต่างดับแล้วดับเรื่องอะไรล่ะ? มันก็เหม่อลอยไง ความเหม่อลอย ความไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์อันนั้นมันไม่ใช่พุทธศาสนา

ถ้าพุทธศาสนานะ นี่สิ่งที่เป็นจริตนิสัยนี้อย่างหนึ่งนะ แต่ความใสสะอาดนะ เราอยู่กับครูบาอาจารย์มาหลายองค์ เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์หลายองค์นะ เราดูจริตนิสัยดูพฤติกรรมของท่าน แต่ แต่มันไว้ใจตรงที่ว่ามันใสสะอาด มันเหมือนพ่อแม่ พ่อแม่เวลาพูดกับลูกควบคุมดูแลลูกของเรา เราดูแลด้วยอะไร? เราดูแลด้วยน้ำใสใจจริงของเรานะ เพราะว่าเลือดเนื้อเชื้อไขของเรา เราดูแลรักษาของเรา นี่ไม่มีแอบแฝง ความรักในโลกนี้ความรักที่สะอาดบริสุทธิ์ไม่มีความรักของใครเท่ากับของพ่อของแม่

นี่เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์ของเรานะ ครูบาอาจารย์ของเราถ้าท่านได้ประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านได้ชำระกิเลสของท่าน อันนั้นยิ่งใสสะอาดกว่านะ เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ธรรมทายาทไง เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ได้ปัญจวัคคีย์ ๕ องค์ ได้ยสะและเพื่อนของยสะอีก ๕๔ องค์ แล้วรวมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็น ๖๑

“เธอทั้งหลายพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธออย่าไปซ้อนทางกันนะ โลกนี้เขาเร่าร้อนนัก” เห็นไหม

เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ล่ะ? นี่รู้เพราะอะไร? เวลาเทศนาว่าการปัญจวัคคีย์ เวลาเทศน์ธัมมจักฯ ไป อัญญาโกณฑัญญะได้องค์เดียว อีก ๔ องค์ยังไม่รู้ เทศน์ซ้ำๆ จนเป็นพระโสดาบันทั้งหมด เทศน์อนัตตลักขณสูตรเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา

เวลาได้ยสะมา พระยสะมีปราสาท ๓ หลังเหมือนกัน บอกว่า “ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ” มันเดือดร้อน มันทุกข์ยากไปหมด ที่นี่เดือดร้อนหนอ คือว่าการบริหารจัดการมันเครียดมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่นะ

“ยสะ ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่เดือดร้อน ที่นี่สงบสงัด”

เทศน์ให้ยสะเป็นพระโสดาบัน พ่อแม่ออกมาตามนี่บังไว้ด้วยฤทธิ์ เทศน์สอนพ่อแม่นี่พระยสะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เพื่อนได้ข่าวตามมาพระพุทธเจ้าเทศนาว่าการ นี่ ๖๑ องค์พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ ฉะนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันมีมาตรฐานเดียว คำว่ามาตรฐานนะ มาตรฐานคืออริยสัจความจริงอันนั้น ถ้าความรู้ความเห็นเรา เห็นไหม ถ้าความรู้ความเห็นเรา มันเป็นอารมณ์ความรู้สึก ถ้าความรู้สึกของเรา เราพิจารณาไปมันมีโลกียปัญญา

โลกียะหมายความว่า เวลาคนเรามีการศึกษาทางวิชาการสิ่งใด มองศาสนาก็มองในมุมมองของตัว นี่เรามองศาสนาในมุมมองของตัวนะ เรามีพื้นฐานการศึกษาสิ่งใดล่ะ? ถ้าคนเรียนกฎหมายมาก็มองในแง่ของกฎหมาย ถ้าคนเรียนอริยสัจมาก็มองในแง่ของอริยสัจ คนเรียนวิศวะมาก็มอง... มองในแง่ของใคร? พื้นฐานอันนั้นมันมองศาสนาด้วยวิธีการใด? แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมาแล้วล่ะ? นี่เวลาปฏิบัติขึ้นมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสื่อก็สื่อในความเข้าใจของเรานั่นล่ะ สื่อในความเข้าใจของเรา แต่เวลาจิตมันสงบแล้วนี่เป็นสากล

ถ้าจิตสงบเป็นสากล สากลหมายถึงว่าเวลาฤๅษีชีไพรเขาทำความสงบของเขาเหมือนกัน ดูสิอาฬารดาบส อุทกดาบส ทำสมาบัติ ๘ แล้วฤๅษีชีไพรเขาทำสมาธิล่ะ? แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมาธินั้นถ้าไม่เป็นสัมมา ไม่เป็นสัมมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดอานาปานสติ พอจิตกำหนดอานาปานสติมันหดสั้นเข้ามาถึงตัวของจิตเอง พอตัวของจิตเอง ตัวของจิตใช้ปัญญาฟอกในตัวของจิตเอง แต่ถ้าเป็นมิจฉาล่ะ? มันเป็นมิจฉา เห็นไหม เป็นความรู้สึกแล้วมันส่งออก

นี่สมาบัติ ๘ มันทำความสงบของใจเหมือนกัน รูปฌาน อรูปฌาน ฌานโลกีย์ ฌาน เห็นไหม ฌานมันมีกำลัง พอมีกำลังมันออกรู้ไง ออกรู้ในเรื่องสิ่งใดๆ พอออกรู้เห็นต่างๆ รู้วาระจิต รู้ต่างๆ ตื่นเต้น ตื่นเต้นว่าท่านเป็นศาสดา เป็นศาสดา นี่รู้คนอื่นรู้ส่งออก แต่ไม่รู้ตัวเอง ไม่รู้ตัวเองไม่รักษาตัวเอง เวลาอานาปานสติมันสงบเข้ามาที่ตัวมันเอง พอสงบที่ตัวมันเอง สงบเข้าถึงตัวเองก็ไปเห็นข้อมูลที่เคยสร้างสมบุญญาธิการมา บุพเพนิวาสานุสติญาณ ข้อมูลในใจเพราะมันหดมาในใจมาเห็นข้อมูลในใจของตัว นี่ข้อมูลก็เปิดเผยออกมา ถ้าเปิดเผยแล้วมันก็สาวเข้าไปในข้อมูลนั้นไม่จบไม่สิ้น ไม่จบไม่สิ้น ไม่มีต้นไม่มีปลาย เห็นไหม นี่ดึงกลับมา อานาปานสติดึงกลับมาสู่ความสงบ ถ้ามีกำลังขึ้นมานี่พอเข้าไปถึงข้อมูลเดิม ถ้าข้อมูลเดิมไม่กำจัด แล้วแรงขับล่ะ? แรงขับก็จุตูปปาตญาณ นี่สิ่งนี้มันเป็นอดีตอนาคตทั้งหมด อดีตอนาคตในขณะจิตดวงนั้นนะ เวลาดึงกลับมา พอดึงกลับมาอาสวักขยญาณนี่มรรคเกิดแล้ว

ถ้ามรรคเกิด เพราะว่าจิตมันย้อนกลับมามันไม่ใช่ว่าออกรู้ ออกรู้เรื่องต่างๆ นี่สมาบัติ ออกรู้ได้หูทิพย์ เสียงทิพย์ หูทิพย์ ตาทิพย์ต่างๆ ออกรู้ๆ ออกรู้เรื่องคนอื่น แต่ไม่รู้เรื่องของตัวเอง พอเวลามันสงบเข้ามามันรู้เข้ามาในเรื่องของตัวเอง มันพิจารณาของมัน นี่สิ่งที่พอพิจารณา พอชำระสะสางความไม่รู้ อวิชชาความไม่รู้ไง เวลามันมีกำลังขึ้นมามันรู้เรื่องคนอื่นหมดเลย แต่มันไม่รู้ตัวมันเอง พอมันกลับขึ้นมารู้ในตัวมันเองแล้วชำระในตัวมันเอง

“เราเป็นไก่ฟองแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา”

ความรู้สึกนึกคิดเรานี่แหละขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ เห็นไหม นี่ตัวจิตคือตัวสมาธิ คือตัวพลังงาน ตัวขันธ์ ๕ นี่เปลือกของไข่ เวลามันเจาะฟองไข่ออกมา พอเจาะฟองไข่ออกมาขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ นี่แล้วปฏิฆะ-กามราคะ มันเกิดจากสิ่งใด? มันเกิดจากสิ่งที่จิตออกรู้ ออกรู้ในอะไร? ออกรู้ในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ถ้ามันสงบเข้ามาล่ะ? มันชำระล้างเข้ามา

นี่ถ้ามันชำระล้างเข้ามามันเข้าไปถึงในหัวใจ ถ้ามันเป็นไปได้ มันเป็นไปได้เราปฏิบัติได้ หลักการมันเป็นแบบนี้ แต่คนจะมีอำนาจวาสนาแค่ไหน? เรามาทำบุญกุศลกัน เรามาทำบุญกุศลเพราะ เพราะเราเชื่อในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึกนะ แก้วสารพัดนึกนึกในเรื่องอะไร? นึกในเรื่องทานก็ได้ทาน นึกเรื่องของศีลก็ได้ศีล นึกเรื่องสมาธิก็เรื่องของสมาธิ เรื่องของปัญญาเราก็ต้องฝึกฝนของเรา นี้แก้วสารพัดนึก เห็นไหม

เรามาทำบุญกุศลกันเพราะเราเชื่อในความเมตตาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าจิตนี้เกิดมาจากไหน? มนุษย์นี้เป็นมาจากไหน? เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่จิตปฏิสนธิจิต มันปฏิสนธิในไข่ ในครรภ์ ในน้ำคร่ำ ในโอปปาติกะ แล้วเกิดมาในวัฏฏะ ถ้าเกิดในวัฏฏะเกิดเป็นมนุษย์ เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วสิ่งที่เราทำอยู่ในโลกนี้เราก็ทำเพื่อความมั่นคงในชีวิต เพื่อความมั่นคงของเรา แต่ความมั่นคงในชีวิตนี้มันก็ใช้ปัจจัยเครื่องอาศัยนี้ในชีวิตหนึ่ง แต่คุณงามความดีของเรามันจะติดกับจิตเราไป

ถ้ามันติดกับจิตเราไป เราสร้างบุญกุศลขึ้นมาเพื่อความสบายใจ เราสงเคราะห์อนุเคราะห์ผู้อื่น จิตเรามันก็ผ่องแผ้ว แล้วเวลาสงเคราะห์อนุเคราะห์ผู้อื่น แล้วสิ่งที่เราสงเคราะห์นั้นเขาได้ความพึ่งพิงจากเรา แต่สิ่งที่จิตใจเรานี่เราได้เราได้อะไร? เราได้ความอบอุ่นในหัวใจของเรา แล้วถ้ามันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา เห็นไหม ทำแล้วมันมีหลักมีเกณฑ์ มันสนใจ มันค้นคว้า มันอยากประพฤติปฏิบัติ นี่มันก็จะย้อนกลับมา ย้อนกลับมา

งานของโลกคืองานบริหารจัดการ งานดูแลสิ่งหน้าที่การงานของเรา งานบริหารใจ ควบคุมใจของเราให้มันสงบนิ่งได้อย่างไร? แล้วถ้าหัวใจมันสงบนิ่ง เวลาเราทำเรื่องงาน งานก็เป็นงานของโลก งานของโลกหมายถึงว่า เราจะทำขนาดไหนมันต้องมีงานของมันต่อเนื่องกันไป งานของใจถ้าเราชำระสะสางจนมันจบสิ้นกันได้ งานอย่างนี้มันจบสิ้นได้ ถ้ามันไม่จบสิ้น มันไม่จบสิ้นเพราะสิ่งใด? ถ้ามันจบสิ้น มันจบสิ้นเพราะสิ่งใด? เราจะมีประสบการณ์ของเรา

ถ้ามันไม่จบสิ้น เห็นไหม มันพิจารณาไปแล้วมันภาวนาของมันไปแล้ว แต่มันมีสิ่งใดค้างคาใจอยู่ แต่มันพิจารณาของมัน มันแยกแยะของมัน มันแยกแยะของมัน เวลามันตทังคปหาน มันรวมตัวลงมันชำระของมันไป แต่มันบ่อยครั้งเข้าๆ จนถ้ามันสมุจเฉทปหาน ถ้ามันสมุจเฉทปหานมันขาด สังโยชน์ขาดจากใจเรารู้ของเรา มันขาดเพราะสิ่งใดล่ะ? เวลามันขาดมันขาดอย่างไร? ของเรากำอยู่ในมือเราทิ้งจากมือเราไปอย่างไร?

เวลามันขาดนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ดั่งแขนขาด” เวลาดั่งแขนขาด เวลามันขาดสิ่งที่มันขาดไป เห็นไหม นี่เรารู้ของเรา ในเมื่อมันขาดไปมันขาดไปมันไม่มีสิ่งใดแล้ว มันจะมีสิ่งใดที่เหลืออยู่ในใจล่ะ? เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราปล่อยวางแล้วมันมีอะไรตกค้างในใจ ตกค้างในใจ มันมีตกค้างอยู่ ถ้าเราซื่อสัตย์ เราซื่อสัตย์เราพิจารณาของเรานะ นี่เพราะมันตกค้างขึ้นมา แล้วแก้ไขสิ่งที่ตกค้างนี้ทำอย่างไร? ทำอย่างไร? พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พิจารณาแยกแยะแล้วแยกแยะเล่า

นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ไก่ตัวแรกเจาะฟองอวิชชาออกมา มันเจาะฟองอวิชชาออกมาเป็นไก่ตัวแรก เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตใจของเราถ้าเราประพฤติปฏิบัติมันก็ต้องทำแบบนั้น เพราะอวิชชาความไม่รู้ในหัวใจของคนมีทุกคน ถ้ามันทำลายอวิชชา ทำลายสิ่งนั้นขึ้นมา มันจะเติบโตขึ้นมา แล้วมันจากไหนล่ะ? เห็นไหม หน่อพุทธะ หน่อพุทธะมันมาจากการฝึกฝน มาจากการเจตนา มาจากการตั้งใจจริงของเรา มาจากการฝึกหัดของเรา

งานทางโลกมันยังล้มลุกคลุกคลาน เห็นไหม สิ่งที่เป็นวัตถุ สิ่งที่จับต้องได้ บริหารจัดการเรายังต้องดูแลรักษาขนาดนั้น แล้วหัวใจของเราเราจะต้องดูแลรักษาขนาดไหน? ฉะนั้น เวลาผู้ประพฤติปฏิบัติเขาต้องดูแลความสงบสงัด เขาต้องดูแล สัปปายะ ๔ สัปปายะคือไม่ให้มีอะไรกระทบกระเทือนมันไง ไม่กระทบกระเทือนมันก็ยังหาทางออกอยู่แล้ว ถ้ามีกระทบกระเทือนมันยิ่งไปใหญ่ เราดูแลรักษาก่อน แล้วถ้าปฏิบัติได้แล้วจะอยู่ในที่พลุกพล่านก็ได้ จะอยู่ในที่สงบสงัดก็ได้ ถ้าทำได้แล้วนะ แต่ถ้าทำยังไม่ได้ต้องฝึกฝนก่อน ต้องหาทางออกก่อน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละจากราชวังมาออกสู่ป่าสู่เขา ออกปฏิบัติ เวลาพระเจ้าสุทโธทนะนิมนต์กลับไปเทศนาว่าการ พระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระอรหันต์ นางพิมพา สามเณรราหุลเอาได้หมดเลย เพราะตัวเองมีความรู้จริง มีประสบการณ์แล้วถึงไปสอนคนอื่นได้ แต่ถ้าเรายังไม่มีความรู้จริงนี่เราก็ลูบๆ คลำๆ กัน มาลูบๆ คลำๆ มันก็จะเป็นสิ่งที่เราลูบคลำกันไปอย่างนั้น ถ้าเป็นความจริงมันเป็นความจริงขึ้นมา

ฉะนั้น การเสียสละของเรานี้เป็นประโยชน์อันหนึ่ง มันมีมาตรฐานเดียวเท่านั้นแหละ ใครจะว่าอย่างไร เขาจะว่าอย่างไรมันเรื่องของเขา เราทำของเรา เราวัดกัน เห็นไหม เราวัดกันที่ในความรู้สึกของเรา แล้วถ้าความรู้สึกของเรามันดีขึ้น มันสนใจขึ้น มันพัฒนาขึ้น แล้วเราปฏิบัติขึ้น ทาน ศีล ภาวนา การภาวนาจะทำให้เรามีปัญญา เพราะปัญญาของเรามันจะแก้ไขความลังเลสงสัย แก้สิ่งที่มันหมักหมมอยู่ในหัวใจ แล้วเราจะอยู่ที่ไหนเราก็อยู่ได้

สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของเรา นี่สันทิฏฐิโก นี่มันเป็นปัจจัตตัง คำว่าปัจจัตตังเกิดขึ้นกับใจ แล้วใครเป็นคนทำให้ล่ะ? อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เวลาทุกข์นี่เราทุกข์ร้อน ถ้าเราแก้ไขแล้ว ตนแก้ไขตน ตนจะรู้จริงในหัวใจของตน เอวัง